Mindfulness Organization

Mindfulness Leader is the way of being…not doing.

ชีวิตคนเราประกอบด้วย 2 สิ่งเท่านั้นคือ กายและใจ หากหลงลืมให้ความสำคัญของการดูแลรักษาใจ ฝึกใจ โดยเฉพาะองค์กรใหญ่ที่เน้นประสิทธิภาพประสิทธิผล คนจะมีความเปราะบางทางใจ เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะฝึกใจให้ดูแลใจตัวเอง ซึ่งต้องเริ่มจากการดูสติให้ใจเท่าทันใจ ไปพร้อมกับรู้วิธีออกกำลังใจเหมือนที่เราออกกำลังกาย

ช่วงนี้เพื่อนๆ จะงงนิด ไอ้ตูนเนี่ยนะ สวดมนต์และนั่งสมาธิทุกวันได้แล้ว ทั้งที่ตอนฝึกเป็น Full time trader (ออกตัวก่อนไม่สำเร็จ) เขาบอกนั่งสมาธิดีกับเทรดเดอร์ไงก็ไม่ยอมทำ ฟังพระสวดก็ไม่เข้าใจ ตั้งแต่ทำ LIB มาจะปีที่สี่แหละ ปีที่แล้วเป็นปีเจอเรื่องคนจนรู้สึกได้ว่าใจเป็นทุกข์ จนคนรอบข้างถามว่าทำไมหน้าตาดูเครียด นึกว่าเครียดเรื่องงาน ซึ่งจริงๆ ตัวงานก็แน่นอนทั้งชีวิตก็ชินกับงานเครียด รับมือได้อยู่แหละ แต่กับเรื่องคน เรากลับรู้สึกเราเอาใจไปผูกเยอะ เขวไปเยอะ

จนบังเอิญได้ไปฟัง podcast ของ The Cloud สัมภาษณ์ดร.วีรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าแบงค์ชาติ ชื่อตอนว่า “หลักสูตรสอนธรรมะให้ผู้บริหารถอดบทเรียนจากตัวเองในอดีต” เป็นตอนที่พูดเรื่องชีวิต การแบ่งเวลา ธรรมะกับการบริหารองค์กร แล้วชอบมาก ท่านพูดว่าเริ่มมาศึกษาธรรมะเพราะเป็นทุกข์ พี่ปุ้ยเลยบอกว่าจริงๆ ท่านมีสอนเรื่อง Mindfulness Leadership นะที่สวนโมกข์ เลยสองสมัครดู

ที่เคยแชร์ไปวันก่อน ว่าไปฟังรายการ คุยกับอุ๋ย ด้วยเรื่อง การรู้สึกตัว พระอาจารย์ครรชิต และเริ่มติดตามท่านต่อใน Facebook ทำให้เราเริ่มเปิดใจกับธรรมะรู้สึกว่าท่านทำให้ธรรมะเข้าถึงง่ายขึ้น สนุก แถมด้วยน้องฝนบอกให้พี่ตูนเริ่มสวดมนต์มหาเมตตาใหญ่วันละ 40 นาทีและนั่งสมาธิต่ออีก 5 นาที หลายอย่างที่ทำอาจยังไม่เก่ง ยังไม่เข้าใจหมด ยังอยู่ในช่วงฝึก แต่รู้สึกได้ว่า เรารู้สึกตัวมากขึ้น ไม่คิดฟุ้งซ่าน มีความเบิกบาน และนิ่งขึ้นเยอะในที่ทำงาน อันนี้คือดีแบบรู้สึกได้จนพยายามบอกคนอื่นว่า ลองทำดูไหม

จนได้มาเรียนวันแรกกับ องค์กรรมณีย์ เรื่อง Mindfulness Leadership ที่สวนโมกข์

เริ่มด้วยดร.วีรไท สันติประภพ กับคำว่า Mindfulness Organization

เหตุผลที่เขารับแต่ผู้บริหารระดับสูงก่อนเพราะผู้นำมีหน้าที่สำคัญของการนำตัวเองมาให้คุ้นกับการมีสติ โดยการสร้างความตระหนักรู้ การรู้ตัวจะเป็นกลไกให้เกิดสติหรือการระลึกได้ และเมื่อเกิดสติบ่อยๆ ถี่ๆ ก็จะเกิดเป็น สติสัมปชัญญะ

เมื่อผู้นำเข้าใจถึงความเป็นรมณีย์ ผู้นำเองจะรู้ว่าความเป็นรมณีย์สามารถสร้างได้ การสร้างองค์กรรมณีย์ Manager เป็นคนสร้างผลลัพธ์ตามขบวนการที่ได้วางไว้ แต่ผู้นำเป็นคนที่ปลูกฝังบ่มเพาะวัฒนธรรมองค์กร องค์กรรมณีย์จะมีความหวังว่าจะถูกสร้างได้จริงก็ต่อเมื่อผู้นำได้ลงมือมาร่วมสร้างความเป็นรมณีย์ให้เกิดขึ้น ซึ่งคงไม่มีองค์กรไหนที่อยากจะออกแบบองค์กรให้เกิดความ ‘อรมณีย์’ คือร้อนรุ่ม อยู่ไป ไม่สบายตัวทั้งตัวผู้นำและคนในองค์กร

ไม่ใช่แค่บ้านเราให้ความสำคัญเรื่อง mindfulness organization แต่ผลวิจัยบอกว่าในปี 2576 ให้ทั้งโลกเตรียมรับมือการระเบิดของความหวาดกลัวและความโดดเดี่ยว โดยประเทศไทยเองนั้นในปัจจุบันระดับความเครียดติดอยู่ในอันดับ 5 จาก 23 ของคนมีความเครียดเรื่องความมั่นคงทางการเงิน และการงาน

“A few disgruntled employee can destroy your company culture”

ปัญหาหลักๆ คือคนสมัยนี้ทำงานแบบ auto pilot คือด่วนตัดสินใจ ไม่เท่าทันจิตของตัวเอง สิ่งที่อยากให้แก้คือ การ connect to the person you are with at this moment ไม่ใช่ไม่รับฟัง/ ด่วนตัดสิน/ ออกอาการชักสีหน้า ให้ find space in your mind (คือเหลือช่องว่างให้ใจอย่าเต็มไปด้วยความคิดวน ความเครียด) การมีสติจะช่วยให้มีพื้นที่ในจิต พื้นที่ๆ เปิดรับความคิดใหม่ๆ ไม่ด่วนตัดสินใจ

“Training the mind to take care of yourself”

องค์กรไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเรื่อง Mind competency ซึ่งเป็นเรื่องของใจทั้งนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับความเก่งของคนๆ นั้นเลย

คุณลักษณะของฐานใจ 6 ด้าน

1. Concentration มีสมาธิ ใจจดจ่อกับเรื่องที่กำลังทำ รักษาสมาธิได้อย่างต่อเนื่อง multitasking เป็นสัญญาณของคนขาดสติ ขาดสมาธิ ไม่ได้เป็นสัญญาณของคนเก่งแต่อย่างใด

2. Clarity เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างที่เป็น เห็นตามเป็นจริง ไม่ใช่เห็นแบบที่ตัวเองเชื่อว่าเป็น หรืออยากให้เป็น ต้องรักษาใจให้เป็นกลางเป็นสิ่งสำคัญ ทำให้เห็นสิ่งต่างๆ รอบด้าน

3. Contentment สามารถสร้างความสุขให้เกิดขึ้นในใจ ไม่ว่าเจอแรงกดดันแบบใด ความพึงพอใจทำให้เรารู้จักพอประมาณ สามารถตั้งคำถามกับตัวเองได้ว่า สิ่งที่กำลังทำเป็นความจำเป็นหรือความโลภ

4. Compassion ผู้บริหารต้องสามารถเข้าใจคนอื่น ด้วยความรู้สึกที่เป็นมิตร ด้วยความคิดอยากช่วยเหลือให้ผู้อื่นดีขึ้น เคารพทัศนคติ ความเห็น และข้อจำกัดของคนอื่น สามารถมองบทบาทของตนกว้างมากกว่าผลประโยชน์ของตัวเอง มองโลกและมองทีมงานที่เชื่อมโยงกัน เป็นภูมิคุ้มกันลดความขัดแย้งในองค์กร

5. Creativity ความคิดสร้างสรรค์ เราอยู่บริบทของโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ความคิดใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นต้องเป็นการหาทางออกที่ทำได้จริง ความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้นไม่ได้ถ้าเราไม่มี peace of mind

6. Cushioned mind ใจที่มีกันชน รับแรงปะทะได้กับเรื่องกวนใจ

คุณลักษณะทางใจ 6 ประการ ทำให้ผู้บริหารทำหน้าที่ได้ท่ามกลางความท้าทาย เรียกว่าเป็น competency ทางใจ ให้ผู้บริหารแต่ละคนโดดเด่น มีพลัง มีความอดทนที่จะสร้าง impact ได้

ต่อด้วย ครูดลมาสอนพวกเราเรื่อง Moment of Now “มีใจไว้กับกิจ มีจิตไว้กับตัว”

โดยเปรียบเทียบระหว่าง Mindfulness กับ Mindlessness

ซึ่ง Mindfulness ก็คือระลึกรู้สึกตัวอยู่กับปัจจุบันขณะ การที่เรารับรู้เรื่องในตัวเอง อยู่พ้นความคิดไม่ฟุ้งซ่าน จนเกิด mindset จากสติสัมปัชชัญญะ ปัญญาเลือกใช้ให้เหมาะสม

ตอนแรกบางคนอาจจะยังไม่เข้าใจ แต่ครูดลให้พวกเราเล่นเกมส์ ปลาดุก ปลาช่อน เทียบกับการเป็นดอกบัวที่ใจสงบ ไม่มีสิ่งปลุกเร้า หรือการทำท่ายืดเหยียดสองข้าง ข้างซ้ายไม่รับรู้การทำงานของร่างกาย เราก็จะเกร็งไปหมด นั่นคือการยึดมั่นถือมั่น ส่วนด้านที่รับรู้การทำงานเราจะค่อยๆ คลายแต่ละส่วนของร่างกาย ให้นำวิธีนี้ไปใช้ปลดล็อกตัวเองเวลามีความโกรธ กลัว เกลียด

ว่าเราจะ ‘Response’ รับมืออย่างไร ถ้าเรารับมือได้คนที่กระทำเราก็จะสบาย เราอยู่รวมกันในสังคมได้ไม่กระทบกระทั่ง เพราะเราไม่ ‘React’ กลับ แต่เราอย่าลืมเป็นมิตรกับตัวเองด้วย ฝึก clearing จิตใจตัวเองด้วย (ไม่ใช่ไม่ react กลับเขาแล้วใจเป็นแค้นเก็บกด มาเครียดเอง)

ครูเลยยกตัวอย่างว่าคนที่ฝึกได้จะมีความ Empathy และอาจถูกเอาเปรียบด้วยพวก Naccisist แต่ให้เราฝึกขอบคุณ naccisist ที่เข้ามาในชีวิต ที่เขาอยากมาเสพย์พลังงานเราแล้วเมื่อรู้ดังนั้นก็ต่างคนต่างใช้ชีวิต หรือแยกย้ายหนีกันไป เมื่อเราวางความโกรธเราก็จะเห็นภาพกว้าง มองดูใจเราจากด้านนอกแทน (ครูดลน่ารักมากอ่ะ คุยด้วยแล้วเราเบิกบาน แกยิ้มแบบมีความสุขตลอดเวลา)

session สุดท้ายของวันนี้จะเป็น panel ให้ถามตอบการเรียนรู้วันนี้กับ ดร.วีรไท / ครูดล /โค้ชจิมมี่ และดร. ณัฐ (สองท่านหลังจะมาสอนวันที่ 2 และ 3)

FAQ1 การฝึกสติคือความช้า เฉื่อย และน่าเบื่อหรือไม่?

อย่ามองว่าคือความช้า ให้มองว่าเราคมขึ้น ได้มีสติอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่ฟุ้งไปในอดีตหรือกังวลอนาคต ถ้าเร็วแต่ต้องมาคอยแก้ไขตลอดจะยิ่งแย่กว่า ไม่ใช่ทำให้เฉื่อยจนปล่อยวางแต่จริงๆ คือมีพลังเห็นสิ่งที่เกิดได้เร็วขึ้นและปล่อยวางได้เร็วขึ้น ไม่ให้เป็นขยะในใจ Auto Pilot มีสองแบบ แบบที่ดีคือสกิลทางกาย อย่างนักกอล์ฟ มีการฝึกจนเป็นความเคยชิน วงสวิงสวย แต่ Auto Pilot ของอารมณ์มีแต่หายนะไม่ควรเกิด

จริงๆ คนเรา Multi Task ได้นะ แต่ต้องรู้ว่า ณ ปัจจุบัน เสี้ยววินาทีนั้นทำอะไรอยู่ ไม่ใช่ใจคิดอย่าง กายใช้ auto pilot ความเคยชินทำ

FAQ2 มีสติมีความเมตตา และจะ Drive performance พนักงานไง?

จริงๆ แล้วเมื่อองค์กรมี mindfulness คนจะมีปัญญา แล้วจะเกิด Productivitiy ขึ้นด้วยซ้ำ แต่ผู้บริหารต้องแยกพนักงานให้ได้ คนไหนเป็น มดงาน คนไหนเป็น leader คนไหนต้องการ performance แบบไหน ดร วีรไทแนะให้ไปอ่านหนังสือชื่อ ทำเต็มที่แต่ไม่ซีเรียส โดยพระอาจารย์ไพศาล เป็น pdf ออนไลน์

FAQ3 ฝึกอย่างไร ?

กลับมาที่เรื่อง Mind competency ฝึกสังเกตให้ละเอียด ฝึกเป็น observer ฝึกเป็นผู้ดูตัวเองแบบที่ครูดลสอน แล้วค่อยหาครูบาอาจารย์ที่เหมาะกับตัวเอง อย่าคิดเยอะจนเป็นกรอบให้ตัวเองไม่เปิดใจ ฝึกนั่งสมาธิจะเริ่มแค่ 5 นาที 10 นาทีก็ได้ และ clearing ความคิดในทุกวัน ฝึกตั้งใจฟัง ไม่ด่วนตัดสิน ปัญญาจะค่อยๆ เกิดเอง อย่าคิด ตัวกูของกู มันก้อจะ auto pilot emotion เหมือนเดิม ให้ดูว่าเราทำอะไรแล้ว enjoy มันฝึกสติได้หมด เดิน หรือวิ่ง ก็ทำได้ ที่สำคัญคือรู้ว่ารู้สึกตัวกับปัจจุบัน ฐานกายและฐานจิต (เรื่องนี้อาจารย์ครรชิตที่เราเคารพสอนปฎิบัติดีนะ)

จบด้วยนายแพทย์บัญชา พงษ์พานิช ผู้อำนวยการ กรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการมูลนิธิหอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ (หรือพี่ชายของท่านบรรยง พงษ์พานิช คืนก่อนเราหน้าพึ่งฟังท่านเล่าเรื่องตลาดทุน การเมือง เศรษฐกิจประเทศที่ HOW วันนี้ฟังพี่ชายท่านเล่าเรื่องธรรมะ contrast ดี) ท่านพาเดินชมรูปภาพต่างๆ และเล่าความหมายของแต่รูปให้ฟัง สนุกมาก เข้าใจท่านพุทธทาสภิกขุมากขึ้นเยอะเลย เคารพทุกคนที่พยายามสร้างสวนโมกข์นี้ขึ้นมาจริงๆ ตะก่อนทำงานสผ. ตึก ENCO ข้างๆ ไม่เคยเข้ามาเลย ดีที่ยังไม่สายไป



เรียนวันที่ 2 และ 3 จบแต่วันเสาร์ที่มารีวิวช้าเพราะมีคำถามคลาสสิคว่าหากเรามี mindfulness จะ drive performance องค์กรได้อย่างไรจาก FAQ2 ในรีวิวคลาสวันแรกและดร. วีรไทให้ไปอ่านหนังสือ “ทำเต็มที่แต่ไม่ซีเรียส” โดยพระอาจารย์ไพศาล พึ่งอ่านจบ จะได้รีวิวพร้อมกันทีเดียว

Recap

Day 1 – Mindfulness Organization หรือองค์กรรมณีย์ ก็คือองค์กรที่ผู้บริหารตั้งอยู่บนฐานของการมีสติ + เข้าใจตนเอง + ตระหนักรู้ตนเอง + ความเกี่ยวเนื่องกับผู้อื่น นำไปสู่การมีปฎิสัมพันธ์เชิงบวก

Day 2 – การเข้าใจตนเองและผู้อื่นในระดับลึกอย่างแท้จริง ด้วยการนำทางของสติ​โดยโค้ชจิมมี่ที่สอนผู้นำบริษัท Listed มาหลายท่าน

Day 3 – เข็มทิศของ Mindfulness Leader ที่สร้างการตื่นตัวและแรงบันดาลใจเพื่อพาองค์กรไปสู่เป้าหมาย

หนังสือ ทำเต็มที่แต่ไม่ซีเรียส – แนวธรรมะกับการสร้างองค์กรที่มีความสุข เพราะองค์กรที่ดีนอกจากฉลาดในการบริหารบุคคลและจัดการความรู้แล้ว ต้องฉลาดในการจัดการความดี เพื่อสร้างความสุขและพัฒนาจิตของคนในองค์กร ก่อให้เกิดพลังในการทำความดีด้วยอัตตาที่เบาบาง

*** ออกตัวแรงว่ายังคงเป็นคนถือศีล 5 ไม่ได้ (จบที่ข้อ 5 สุราเมรยมัฌชปะมาทัตถานาเวรมณี) และไม่ได้ธรรมะธรรมโมขนาดนั้นนา แต่แค่สนใจในการเอาแก่นของพุทธศาสนามาช่วยปรับการใช้ชีวิต

Day 2 – การเข้าใจตนเองและผู้อื่นในระดับลึกอย่างแท้จริง

ประสบการณ์ของโค้ชจิมมี่คือทำงานกับบริษัทการเงินระดับประเทศในตำแหน่ง HR Director และเริ่มมาเข้าใจเรื่องพุทธศาสนาในวัย 51 ปี (ปัจจุบันโค้ชอายุ 68 ปี) จนมาเป็นโค้ชให้ผู้บริหารระดับประเทศหลายๆ องค์กร เล่าถึงประสบการณ์มากกว่าสิบปีที่ได้ช่วยคนอื่นมากมายจากการเป็นโค้ช เรื่องราวของการเข้าใจผู้อื่นจึงน่าสนใจมาก

สิ่งแรกโค้ชอธิบายถึงการเข้าใจแรงผลักดันของคนก่อนมีแค่ห้าเรื่องหลักคือ Being / Belief / Value / Need / Fear

Being

ถ้าเรานึกอาจจะนึกกันไม่ออกในคลาสโค้ชเลยมี คุณลักษณะประมาณ 100 ข้อให้ แล้วลองให้เล่าความสำเร็จในชีวิตที่เราภูมิใจให้เพื่อนฟังแล้วลองเลือก Being สามข้อที่เราคิดว่าพาเรามาถึงจุดนี้ ซึ่งเราได้ “ใฝ่รู้ ใจสู้ ผู้ให้” จากนั้นโค้ชบอกแล้วให้คิดถึงเป้าหมายในชีวิต Being อีกสามข้อที่จะพาเราไปถึงจุดนั้นจะกลายเป็นอะไรหรือยังอันเดิม ซึ่งคนในคลาสก็ไม่ใช่อันเดิมนะโดยมากเป็นเรื่องอยากเกษียณกัน ซึ่งเราบอกเป้าหมายเราคืออยากทำเพื่อสังคม เอาประสบการณ์ทำงานไปช่วยคนแหละ ดังนั้น Being จะกลายเป็น “ปรับปรุงพัฒนาตนเอง กล้ารับ Feedback และ เป็นตัวอย่างที่ดี”

มีนักเรียนถามว่า ทำไม Being มีแต่เรื่องดี ไม่มีเรื่องไม่ดีหรอ โค้ชบอก อันนั้นเรียก พฤติกรรม Being ต้องมีแต่เรื่องดี เราถึงได้เกิดมาเป็นคนไง ดังนั้นการที่เราเจอคนทำชั่ว เราต้องมองหา Being ที่ดีของเขาให้ได้ บางครั้ง Value หรือเปล่าที่ไปบดบัง Being ที่ดีจนทำให้เขามีพฤติกรรมไม่ดี

โค้ชเลยสอนเสริมว่า Mindset ของโค้ชที่เข้าใจคนได้ ก็เหมือน mindset ผู้นำ หรือการเป็นพ่อแม่คน ควรเรียนรู้และจำสี่ข้อนี้ไว้ตลอด

1) คนเป็นได้มากกว่าที่เห็น >> ให้โอกาสเขา​

2) ทุกคนทำดีที่สุดด้วยทรัพยากรที่เขามีอยู่ ณ ขณะนั้น >> ให้อภัย

3) คนเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้

4) ไม่มีความล้มเหลว มีเพียงผลสะท้อนกลับ >> อย่าถอดใจ คนเสียเราต้องซ่อม

Belief

ความเชื่อคือความจริงของคนที่เชื่อ แต่ไม่ใช่ Absolute Truth ของโลกนี้ เราต้อง Define moment ที่ทำให้เขามีความเชื่อแบบนี้ให้ได้

คนเราทุกคนจะมีเหตุการณ์ (Event) ที่ทำให้เกิดประสบการณ์ชีวิต (Experience) จนก่อให้เกิดความเชื่อ (Belief) ซึ่งเลยก่อให้เกิดทั้งเรื่อง Fear / Value / Need ในชีวิตล่อหลอมมาเป็น Attitude และ Behavior / Habit ของเขา มีแค่ Event และ Experience ที่เราไปเปลี่ยนแปลงเขาไม่ได้ แต่ถ้าเราเข้าใจว่าสองสิ่งนี้มันทำให้เขาเป็นเช่นนี้ สิ่งที่เหลือต่างๆ เราสามารถเปลี่ยนเขาได้

มนุษย์ทุกคนมีปมหมด แต่เรา reframe ใหม่ได้ เราควรหา benefit จากปมมากกว่า แต่กว่าจะช่วยเขาตรงนี้ได้ก็ต้องฟังแบบไม่ด่วนตัดสิน บางคนอาจเล่าเรื่องให้เราฟังจนเราสงสาร อย่าสงสารแล้วร้องไห้ไปกับเขา มันกลายเป็นว่าเขาเป็นเหยื่อ ให้เรามองหาข้อดีของเรื่องที่ฟัง เชื่อว่าเขาเติบโตได้ ไม่ร้องไห้ไปกับเขา อย่ายื่นทิชชู่หรือโอบกอดไม่งั้นเขาจะติดการร้องไห้ การสงสารคนอื่นคือการที่เรายกตัวเองเหนือเขา เราต้องจิตแข็ง >> เรื่องนี้ยากมากทำผิดมาตลอด

เลยเป็นเรื่องของการเป็นผู้ฟังที่ดี หรือโค้ชที่ดีจะมีห้าสิ่งสำคัญคือ Personal Life Transformation > Mindset > Relationship > Listen > Ask ยากนะ เคยเรียนคอร์ส Leadership ทำไม่ได้กันสักคน ด่วนตัดสินจากประสบการณ์ตัวเองกันเยอะเลย 555+

โค้ชเลยสอนต่อว่าให้เราเข้าใจเป้าหมายชีวิตก่อนไม่ว่าจะตัดสินใจเรื่องอะไรให้คิดแค่ สาม ดี (Ecology 3 ดี) ดีต่อคนเอง ดีต่อคนอื่น ดีต่อสังคม ไหม หลายครั้งเรารู้นะว่าสามข้อดีหมด แต่กลับตัดสินในด้วยอารมณ์​นั่นคือเหตุผลที่ทำไมเราต้องมีสติเพื่อบอกเราเสมอว่า outcome ของการตัดสินใจจะเป็นอะไร

มีคำถามเรื่องความเมตตาหากไม่กล้าตัดสินใจเช่นไล่คนออกเพราะเมตตาหล่ะ โค้ชบอกเราต้องแยก หน้าที่และตัวเราออกจากกัน เมตตาคือตัวเราหรือ Identity และไม่มีใน Job Description การเอาคนที่ไม่ performance ออก เราตัดสินใจตามหน้าที่ แม้ว่า เราจะไม่รู้สึกดีหลังตัดสินใจ แต่เราจะเติบโตขึ้น อย่าเอาตัวเรามาครอบงำหน้าที่ ต้องซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของเรา >> อันนี้ผ่านมาแล้ว ทำได้แล้วเช่นกัน ให้คนที่ไม่ performance ออกทีแอบยากแต่เติบโตจริง

ในคลาสก็มีถามเป้าหมายชีวิตและความสุข โค้ชเลยบอกคนมักตั้งแค่เรื่องเงินและเรื่องงาน แต่ก็ยังรู้สึกไม่ fulfill ซึ่งจริงๆ แล้ววงล้อชีวิตมันควรตั้งเป้าให้ครบ 10 เรื่องของวงล้อชีวิต คือ การเงิน สุขภาพ จิตใจ งาน ครอบครัวและเพื่อน ความสนุกสันทนาการ สภาพแวดล้อมทางกายภาพ ความรัก ความคิดสร้างสรรค์ การพัฒนาตนเอง ไม่ได้ต้องเป้าหมายสูงสุดหมดนะ แต่มันควรสมดุล

ตกเย็น พวกเราได้เข้าไปในห้องเก็บอุณหภูมิของ หอจดหมายเหตุพุทธทาสฯ ที่มีห้องแดง เขียว ขาว เก็บผลงานต่างๆ ของพุทธทาสภิกขุไว้ แม้ท่านพุทธทาสภิกขุจะเป็นนักธรรมชาตินิยมและเชื่อในสุญญตา แต่ท่านก็เป็นผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่และทำหน้าที่ครูได้ไม่บกพร่องตลอดชีวิตของตน ทั้งหนังสือ เทปคำสอน เครื่องพิมพ์ดีดและกล้องถ่ายรูป ของใช้ส่วนตัวต่างๆ ท่านจัดเก็บสิ่งต่างๆ ไว้เป็นระเบียบมีการทำ index ไว้ดีมากจริงๆ

ขอบคุณทุกคนที่พยายามสร้าง สวนโมกข์กรุงเทพ ขึ้นมา มันดีต่อใจจริงๆ



“การวิจัยเกี่ยวกับความสุข” จากงานวิจัยของ Harvard Study of Adult Development ซึ่งเป็นการศึกษาระยะยาวที่ติดตามชีวิตของผู้ชาย 724 คนเป็นเวลากว่า 75 ปี พบว่าปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสุขมากที่สุดคือ Relationship Quality หรือคุณภาพความสัมพันธ์กับครอบครัวและเพื่อน สิ่งนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของ ความสัมพันธ์ทางสังคมที่ดีคือคำตอบการมีชีวิตที่สมบูรณ์และมีความหมาย

วันที่สามสอนโดย ดร ณัฐวุฒิ กุลนิเทศ ผู้ก่อตั้งบริษัท ADGES ที่ปรึกษาด้าน Leadership Development และ เป็น Executive coach ให้กับทาง IMD (Business School ชั้นนำของสวิส) ก่อนที่เราจะจบคลาสด้วย Panel ถามตอบกับ ดร.วีรไท โค้ชจิมมี่ ครูดล และดร ณัฐวุฒิ

วันนี้เป็นเรื่องของ Mindfulness Leader หรือการที่ผู้นำมีการเจริญสติในการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งมองว่าจิตวิทยาในองค์กร หรือจิตภาวะจะช่วยทำให้เรารู้ทุกข์และออกจากทุกข์ได้ในที่สุด มองว่าผู้นำจะเจอปัญหาร้อยแปดพันสิ่ง ซึ่งการเจริญสติจะช่วยให้ไม่อมทุกข์และมีสติในการแก้ไขปัญหา

การมี Mindful ก็คือการมีสติ > จิตจำสภาวะ > เกิดความสงบ > ลดความเครียด > เจริญปัญญา

“เพราะความสุขเป็นเหตุทำให้เกิดสมาธิ และสมาธิเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา”

ในคลาสวันนี้เลยมีการลองเดินจงกรมตามวิธีพระอาจารย์ไพศาลที่ทำได้ง่ายๆ และทำในห้องเรียนกันก็ได้ให้คนเปิดใจเรื่องการเดินจงกรม และลองฝึกหายใจกันแบบง่ายๆ ที่ย้ำว่าเราจะทำที่ไหนก็ได้ ทำเมื่อไรก็ได้แม้แต่ตอนพัก หรือเดินไปเข้าห้องน้ำ

พระพุทธเจ้าท่านได้แนะนำสำหรับผู้ที่จะปฎิบัติการเจริญสติเอาไว้สองข้อคือ หนึ่งให้หากัลยาณมิตรที่เป็นเพื่อนคู่คิดและแนะนำเราได้ อย่างที่สองคือ โยนิโสมนสิการ นั่นก็คือการพิจารณาวิธีปฎิบัติและผลการปฎิบัติอย่างแยบคายว่ามาถูกทางหรือเป็นสัมมา หรือทางแห่งการพ้นทุกข์หรือไม่

ต้องบอกว่าในคลาสมีพี่ๆ หลายคนน่ารักมากเป็นคุณหมอให้คำปรึกษาเราหลายอย่างทั้งวิธีเริ่ม เอาสมุดสวดมนต์มาให้เอย สอนเรื่องพระอาจารย์คนไหนน่าติดตาม สอนเรื่องการใช้ชีวิต เป็นคลาสที่มีพลังบวกดีมาก

วันนี้เราเริ่มคลาสจากการประเมินชีวิตตัวเองก่อนผ่านวงล้อชีวิต(The Wheel of Life) ทั้งสิบด้านว่ามีความสมดุลไหม ได้แก่ด้านงานอาชีพ การเงิน สภาพแวดล้อมทางกายภาพ ความรักคู่ครอง การพัฒนาตนเอง สุขภาพ ความสนุก ความคิดสร้างสรรค์ จิตใจ ครอบครัวและเพื่อน ซึ่งคนโดยมากชอบคิดว่าชีวิตเราสมดุลโดยมองแค่ การเงินและการงาน แต่พอมาดูให้ครบสิบด้านจะเห็นว่าชีวิตเรายังมีอีกหลายมิติที่ยังไม่สมดุล และแน่นอนจากงานวิจัยด้านความสุข สุดท้ายสิ่งที่สำคัญสุดเมื่อพูดกันเรื่องความสุข ก็คือ ความสัมพันธ์กับคนรอบตัว

สาเหตุหลักที่ทำให้คนมีความสุขน้อยลงในปัจจุบันหลักๆ มีสามเรื่องคือ

1. DIstractibility การถูกดึงดูดจากสิ่งเร้าภายนอกง่ายเกินไป 76% ของเด็กวัยรุ่นปัจจุบันกลับรู้สึกเหงามากขึ้น

2. Negative thought ความคิดเชิงลบ ทำให้เกิดความซึมเศร้าง่ายขึ้น

3. Life Meaning & Purpose คนขาดเป้าหมายในชีวิต

**ผู้นำจึงต้องเข้าใจเรื่องนี้ในฐานะที่ต้องปกครองคนหมู่มาก บางผู้นำก็ต้องไปเรียนเรื่อง Compassion

โดยในคลาสจะมีการสอนเรื่อง Mindful Leader Compass หรือเข็มทิศสี่ด้านของผู้นำ มีสี่เรื่องคือ

EAST – Who you are?

การตระหนักรู้ เข้าใจความแตกต่างในเรื่องของรูปแบบความคิดและความแตกต่างด้านพฤติกรรม คือให้ทำแบบทดสอบที่เราจะเข้าใจทีมเรามากขึ้น ว่าเขาเป็นคนแบบไหน Analytical / Structural / Social / Conceptual ซึ่งคะแนนสองเรื่องไหนมากที่สุด การดีลกับคนแต่ละแบบก็ต่างกันอีก ที่ Liberator เราทำ Gallup กับ DISC และ head แต่ละฝ่ายมีทำจริงจังตอนเรียน Leadership Class ด้วย

SOUTH – Value & Motivation

ค่านิยมและแรงจูงใจซึ่งเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมอีกทีในการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น เราจำเปนที่ต้องเริ่มจากเข้าใจคุณค่าและแรงจูงใจของเราเพื่อเชื่อมโยงผู้อื่นด้วยสายตาที่มองความแตกต่างอย่างสร้างสรรค์

NORTH – Passion & Purpose

“Those who have a WHY to live, can bear with almost any HOW” แรงจูงใจมนุษย์มาจากสามเรื่องหลักคือ Autonomy (ความมีอิสรภาพในสิ่งที่อยากทำ), Master (ความสามารถอันโดดเด่นเป็นที่ยอมรับ) และ Purpose (เป้าประสงค์การใช้ชีวิต) ให้ค้นหาตัวเองให้เจอเราจะมีฉันทะกับสิ่งที่ทำ มองเห็นคุณค่าและให้ใจกับงาน

WEST – Success

ความสงบ สันติ เต็มไปด้วยความรักและความเมตตา ปรารถนาให้ผู้อื่นใช้ชีวิตในการพัฒนาศักยภาพของตนจากภายใน จนเห็นสาระของการสร้างสรรค์ผลงานทั้งทางโลกและความเข้าใจสัจธรรม

Organization Culture จึงมี 4 ระดับ

1. Values – What we care about, often core values of Founder.

2. Climate – Perceptions of impact of work systems on employee (Information, Decision, Accountability, People)

3. Pattern and Norms – How things are done around here, implicit rules and ways of working

4. Identity – outside – in with stakeholders impact and guidance

ส่วนตัวดูจากพี่ๆ ในคลาสเป็นผู้บริหารองค์กรใหญ่ คิดว่าถ้าข้อแรกไม่ชัดแอบยาก values . vision . purpose ต่างๆ align กันจริงไหม พอมีบอร์ดที ก็มองแต่ผลกำไร ไม่ได้สนใจ culture , core values หรอก ก็มีบางคนดูเซ็งๆ

ซึ่งตอนจบคลาสแล้วมี panel ให้ถาม เราเข้าใจเลยว่า Mindfulness Organization ไม่ได้ต้องหมายถึง CEO เท่านั้น อาจจะหมายถึงผู้นำของแผนกก่อนก็ได้หรือหน่วยงานใดๆ ทำให้เห็นว่าพอการทำงานร่วมกันมีความสุข แผนกอื่นก็จะสนใจและพยายามอยากเข้าใจเรื่อง mindful มากขึ้น ซึ่งโดยส่วนตัวชอบการตอบคำถามดร วีรไทมาก เฉียบ สมกับเป็นอดีตผู้ว่าแบงค์ชาติ และสมกับที่เป็นบุคคลสำคัญที่ทำให้เราอยากมาเรียนคลาสนี้

ท่านให้ไปอ่านหนังสือ ทำเต็มที่แต่ไม่ซีเรียสของ พระไพศาล วิสาโลต่อ เลยขอสรุป key สำคัญที่ชอบๆ ในหนังสือไว้ในนี้ต่อ

– การทำงานด้วยจิตว่าง คือว่างจากกิเลส หรือว่างจาก “ตัวกู ของกู” ว่างแบบนี้ไม่ได้ทำให้วางเฉยหรืองอมืองอเท้า แต่ทำให้ทำงานได้อย่างเต็มที่ ไม่เฉื่อยเนือยเพราะขี้เกียจหรือเฉไฉไปตามอารมณ์ ทำให้งานเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ดีงาม ไม่แปรเปลี่ยนเป็นเครื่องมือสนองกิเลสหรืออัตตา

– ถ้าคุณชนะในเกมธุรกิจแต่ไม่ได้ช่วยเหลือใครในเวลาที่คุณควรช่วย นั่นเป็นชัยชนะประเภทไหนกัน การทำสิ่งที่ถูกต้องมีคุณค่ายิ่งกว่าชัยชนะ ความสำเร็จนำมาซึ่งความสุขก็จริง แต่การอยู่เหนือความสำเร็จ หรือไม่หมกมุ่นยึดติดกับความสำเร็จต่างหากคือที่มาแห่งความสุขที่แท้จริง

– ธรรมะในงานมีความสำคัญคือทำให้เราเปิดใจรับฟังคำวิจารณ์ได้โดยได้ประโยชน์จากทุกอย่างไม่ว่าผู้พูดจะเป็นใครก็ตาม ถ้าเราวางใจอย่างถูกต้องเวลาทำงานเช่น อิทธิบาท 4 โดยเฉพาะวิมังสา คือการหมั่นใคร่ครวญไตร่ตรองงานที่ทำเพื่อให้ออกมาดีที่สุด ถ้าเราคาดหวังงานที่ทำต้องมีคนชม เรากำลังคลาดจากธรรมแล้วคือไม่ได้ทำด้วยความใฝ่รู้ แต่ทำด้วยใจที่อยากได้ผลตอบแทน ซึ่งเป็นเรื่องของอัตตาหรือตัณหานั่นเอง

– คนเรานั้นต้องการสัมพันธภาพ 2 แบบคือ เชิงลึก ได้แก่การได้รู้จักตัวเอง ได้สัมผัสกับความสุขภายใน เห็นคุณค่าของตัวเอง รวมทั้งยังมีสันติกับตัวเอง จะเกิดขึ้นเมื่อได้ทำความดี ทำสิ่งที่มีประโยชน์ และไม่ถูกครอบงำด้วยอัตตาตัวจน อีกสัมพันธภาพหนึ่งคือ เชิงกว้าง ได้แก่การมีเพื่อน มีมิตรสหาย มีชุมชน จะเกิดขึ้นเมื่อเราได้ทำงานร่วมกับผู้อื่น การทำความดีก็คือโอกาสที่เราจะได้รู้จักและร่วมมือกับผู้อื่น

องค์กรแห่งความดี หรือพลังแห่งความดีในหมู่ผู้ทำงานสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยกิจกรรมต่อไปนี้

1) ชักชวนให้แบ่งปันความดีที่เคยทำหรือประสบมา รวมทั้งการเอาชนะใจตนเอง >> เพื่อให้เกิดแรงบันดาลใจแก่คนอื่น

2) เปิดโอกาสให้มีการแลกเปลี่ยนความทุกข์ในชีวิต >> เพื่อสร้างความเข้าใจกันและเห็นใจกัน

3) ชื่นชมซึ่งกันและกัน ให้กำลังใจกัน >> ความใฝ่ดีในใจเราจะมีพลังขึ้นเมื่อได้รับกำลังใจหรือการชื่นชมจากผู้อื่น

4) ทำงานร่วมกัน รับผิดชอบร่วมกัน >> ความใกล้ชิดกันและเข้าใจกัน ยิ่งมีโอกาสรับรู้ทุกข์สุขของกันและกัน เป็นกำลังใจให้กัน

5) ร่วมกันทำสาธารณประโยชน์ เกื้อกูลผู้อื่น >> ช่วยให้ผู้อื่นมีความสุขย่อมเกิดความสุขแก่ผู้กระทำ

6. ส่งเสริมใหมีการพัฒนาชีวิตด้านใน >> การรู้เท่าทันตัวเอง รู้จักปล่อยวาง เข้าถึงความสงบ ทำให้พัฒนาและนำพลังฝ่ายบวกออกมาเพื่อการสร้างสรรค์องค์กร

7) สร้างบรรยากาศให้งานเป็นเรื่องสนุกและเป็นเวทีแห่งการเรียนรู้ >> บรรยากาศที่ร่วมมือกันมากกว่าการแข่งขันกัน

* องค์กรที่เน้นความสัมพันธ์แนวนอนมากกว่าแนวตั้ง เป็นองค์กรที่มีการจัดลำดับขั้นทางอำนาจไม่ซับซ้อน เป็นเครือข่ายมากกว่าปิรามิด เน้นความร่วมมือไม่แข่งขัน ไม่ตั้งตนบนอำนาจนิยม เน้นการปรึกษาร่วมกัน และไม่เอาผลงานสำเร็จเป็นตัวตั้งอย่างเดียว นึกถึงความสุขของคนด้วย นี่แหละองค์กรรมณีย์​หรือ mindfulness organization

“ชีวิตเป็นเสมือนยานหรือพาหนะจะขับเคลื่อนได้ต้องมีจุดหมาย และพลังขับเคลื่อน

สำหรับชีวิตที่ดีงามนั้น จุดหมายคือการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ และบรรลุถึงคุณค่าสูงสุดแห่งความเป็นมนุษย์ หรือได้รับประโยชน์สูงสุดแห่งความเป็นมนุษย์

ส่วนเส้นทาง คือวิถีชีวิตและการทำงาน เราควรได้ใช้วิถีชีวิตและการงานเป็นหนทางแห่งการพัฒนาตนเองและช่วยเหลือส่วนรวม ทั้งนี้โดยมีพลังขับเคลื่อนคือความดีและความเข้าใจ”

สำหรับตัวเองที่เรียนจบมาจะเดือนแหละ คิดว่าช่วยหลายเรื่องเลยนะ เริ่มมาฟังเทศน์ พระอาจารย์ครรชิต พระไพศาล หลวงพ่อปราโมทย์เยอะขึ้น เพื่อให้ตัวเองรู้สึกตัว นิ่งขึ้นและปล่อยวาง อะไรควบคุมไม่ได้ก็ปล่อยไป ตะก่อนนี่เพื่อปกป้องบริษัท ปกป้องทีมงาน นี่บวกยับ น้องบอกนิ่งขึ้นเยอะเลยพี่ (น่าจะชมแหละ🤣) ส่วนเรื่อง culture และ core values องค์กร คิดว่าไม่ต้องบอกนะ เราคิดว่าเราเป็น CEO ที่ซี้กับ HR และ CFO สมดุลระดับนึง น้องต้องมีความสุข(กิจกรรมขนาดนี้) และองค์กรต้องอยู่ได้ !!!

Leave a comment

I’m Pavalin

Blog นี้ไว้เก็บเรื่องราวสามเรื่องหลัก

Lead – ชีวิตการทำงานทั้งการบริหารองค์กรอย่าง Liberator Securities หรือบริหารธุรกิจเล็กๆ อย่าง HOM hostel & Cloud Kitchen และก้าวต่อไปของเราจากนี้ในการไปทำธุรกิจอื่นๆ

Learn – การเรียนรู้ต่างๆ ไม่ว่าจากการไปเข้าเรียนคลาสต่างๆ หรือการอ่านหนังสือที่พยายามตกผลึกกับตัวเอง

Live – ความสนใจในเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการดูบอล การทำขนม การเตรียมตัววิ่งมาราธอนหรือการเดินทางช่วงนี้จะบ้าธรรมชาติเดินป่าบ่อยหน่อย

หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคน ไม่อยากเก็บไว้แต่ในโซเชียล มันเสิชหายากมาก

we can connect via