
เนื่องจากเป็นคนที่อยากทำธุรกิจมาตั้งแต่เด็ก แต่ด้วยความที่คุณพ่อและคุณแม่จบวิศวกรและวิทยาศาสตร์ และประสบความสำเร็จในการทำงานบริษัท ทำธุรกิจตัวเอง(อสังหาริมทรัพย์) จนสามารถเกษียณได้ตั้งแต่อายุสี่สิบกว่าปี ด้วยความใช้จ่ายไม่เกินตัว ใช้แต่พอดี และรู้จักลงทุน อาจจะไม่ใช่บ้านที่ร่ำรวย หรือไฮโซ แต่คิดว่าคุณพ่อคุณแม่เป็นต้นแบบความพอเพียงที่หาความสุขในชีวิตแบบพอดี และมีเหลือมากกว่าจ่าย ทำให้เราอยากเป็นมาตลอดคือการทำธุรกิจ ใช้อย่างพอเพียงและมีเหลือเพื่อส่งต่อสังคม
เหตุผลที่เลือกเรียนสาขาวิศวะปิโตรเลียมเพื่อที่จะได้เดินทาง จึงได้เดินทางไปทำงานบนแท่นขุดเจาะน้ำมันในหลายประเทศเช่น เวียดนาม บราซิล กาต้าร์ มาเลเซีย พม่า และอื่นๆ สามารถเก็บเงินเพื่อทำธุรกิจของตนเอง โดยตอนที่ออกจากงานประจำได้ทำธุรกิจสองทาง
- ทางสายธุรกิจยั่งยืน และที่ตนเองชอบคือ HOM Hostel & Cooking Club ที่มีต้นแบบคือการทำธุรกิจที่ดำเนินตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 โดยมีหลักคิดตามสามห่วงสองเงื่อนไขคือ ต้องเป็นสิ่งที่เราชอบชอบเรื่องอาหาร ทำครัวใหญ่เพื่อเดโม่อาหารไทยให้แขกได้รู้จักอาหารไทยที่แท้จริงฟรี ไม่เสียเงิน มีสวนดาดฟ้าที่แขกสามารถนำผักมาทำอาหารเองได้ ทำแบบมีเหตุมีผลคือไม่ลงทุนเกินตัว และสุดท้ายมีภูมิคุ้มกัน เมื่อเราให้ก่อน เราก็จะได้สาวกที่รักเรา Stakeholder ที่รักเราและคอยช่วยเหลือเรา เราก็จะอยู่ได้ยั่งยืน ช่วงโควิดไม่มีแขก เราได้หาวิธีที่ทำให้ลูกน้องยังมีงานและเงินเดือนต่อไปได้ ด้วยการทำแคมเปญทำกับข้าวแจกคนเร่ร่อนและมูลนิธิวันละ 100 – 150 กล่อง และราคาอยู่ที่หัวละ 20 – 25 บาทต่อกล่อง ด้วยการที่แบรนด์ที่เราส่งต่อมาตลอดทำให้คนอยากช่วยให้เราได้อยู่ได้ จึงทำให้เราได้ระดมทุนและทำกับข้าวแจกได้ถึง 100 วัน จากนั้น เราทำโมเดลขึ้นใหม่จากพท. ตายของที่พักมาทำ HOM Cloud Kitchen ทำให้ปัจจุบันเรามีรายได้สองทางคือ เช่าครัวรายเดือนและรายวัน และที่พัก จนทำให้เราสามารถอยู่ได้อย่างยั่งยืนไม่ต้องลงไปคุมเหมือนก่อน และลูกน้องก็อยู่ได้จนพ้นช่วงโควิดกลับมาเหมือนเดิม ไม่เคยทิ้งลูกน้องและภูมิใจที่ได้คิดโมเดลธุรกิจเพื่อเสริมธุรกิจเดิมด้วย
- ทางสายเทคสตาทอัพ ก่อนที่จะลาออกจากงานประจำ ได้ไปเรียนทุกอย่างเพื่อหาตัวตนว่าอยากทำอะไรจนได้ไปเรียนคอร์สพี่กระทิง พูนผล จนได้กลุ่มเพื่อนสายเทค และโปรแกรมเม่อ จนได้ทำบริษัทกับเพื่อน ทำแอปพลิเคชั่นงานอีเว้นชื่อ Happenn ซึ่งตอนนั้นเป็น CMO ที่สุดท้ายได้รางวัลเทคของไทย ไปต่อยอดระดับเอเชียที่ไต้หวัน และได้วนเวียนอยู่บริษัทเทคนับจากนั้นมา ได้ย้ายสายไปทำงานหลายบริษัทเทค ทั้งประจำ ที่ปรึกษา ไม่ประจำ แต่ที่คิดว่า ต่อยอดมาถึงปัจจุบันคือไปทำ Head of Business ของ StockRadars ทำให้ได้มีโอกาสลงทุนแบบจริงจังและทำเรื่อง ICO ตั้งแต่ปี 2017 และคิดว่าได้ทำให้ตัวเองเข้ามาสู่สายการเงินจริงจัง
ความภูมิใจล่าสุดก็คือการสามารถจัดตั้ง บริษัท หลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจจากกลต ได้ภายใน 18 เดือนจากบริษัทที่มีคนเพียง 11 คนมาเป็น 100 คน เพราะเราเชื่อใน digital brokerage เราอยากหลุดกรอบเดิมของโลก Traditional broker ด้วยโมเดลธุรกิจแบบใหม่ แอปแบบใหม่
เป้าหมายคืออยากทำให้แอป Liberator เป็น Social Investment Platform ที่แท้จริง อยากให้คนไทยเทรดและศึกษาเองได้ โดยจะกระตุ้นการลงทุนผ่าน community ด้วย และแน่นอนจะคัดกรองพวกหลอกลวงออก พวกโค้ชปลอม โค้ชฟร้อนรัน อยากให้เมืองไทยมีชุมชนนักลงทุนที่ดี
ประวัติย่อ
จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชาเคมีอุตสาหกรรม คณะวิทยาศาสตร์ จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
จบการศึกษาระดับปริญญาโท สาขาวิชาวิศวกรรมปิโตรเลียม จาก Texas A&M University ประเทศสหรัฐอเมริกา
ปัจจุบันเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท หลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด
ประสบการณ์ทำงาน
ปี พ.ศ. 2550 – 2553 เริ่มการทำงานใน ‘ตำแหน่งวิศวกรแท่นขุดเจาะ’ ในอุตสาหกรรมวิศวกรรมปิโตรเลียม ที่ ‘บริษัท Schlumberger Oil Company’ (บริษัทบริการด้านน้ำมันอันดับหนึ่งของโลก) ซึ่งต้องปฏิบัติงานในหลายประเทศทั่วโลก อาทิ เวียดนาม มาเลเซีย พม่า การ์ต้า บราซิล สิงคโปร์ และย้ายไปเมืองมาคาเอ ประเทศบราซิลอีกหนึ่งปี
ปี พ.ศ. 2554 – 2559 กลับมาทำงานที่ประเทศไทย ใน ‘ตำแหน่งวิศวกรดูแลหลุมผลิต’ ให้กับ ‘บริษัท ปตท สผ.จำกัด (มหาชน)’
ขณะเดียวกัน ในช่วงปีพ.ศ. 2555 – 2556 ได้รับโอกาสทำงานในตำแหน่ง “ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน” โดยมีหน้าที่ในการให้คำปรึกษา วิเคราะห์ เสนอแนะ เกี่ยวกับนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการบริหารพลังงานของประเทศ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สำคัญมากๆ
ปี พ.ศ. 2558 เริ่มสนใจในธุรกิจที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีสตาร์ทอัพ (Tech Startup) โดยเริ่มจัดตั้ง ‘บริษัท ไวท์ เลเบิล จำกัด’ ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับแพลตฟอร์มการจัดการงานอีเว้นท์ในรูปแบบดิจิตัล และยังได้รับ ‘รางวัลรองชนะเลิศ ซอฟต์แวร์ระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก’ หรือ ‘Asia Pacific ICT Alliance (APICTA) Awards’ ที่ประเทศไต้หวัน อีกด้วย
ด้วยประสบการณ์ที่น่าเชื่อถือและความสำเร็จในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสตาร์ทอัพ รวมถึงการทำธุรกิจส่วนตัวและยังเป็นที่ปรึกษาธุรกิจให้องค์กรและหน่วยงานต่างๆ ทำให้คุณภาวลินได้มีโอกาสร่วมงานในตำแหน่ง ‘กรรมการบริหาร’ ให้กับ ‘บริษัท สยามสแควร์เทคโนโลยี จำกัด’ ซึ่งเป็นบริษัทผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นด้านการลงทุนชื่อ ‘StockRadars’ และ ‘FundRadars’ (พร้อมทั้งพัฒนาแอปเทรดให้กับบริษัทหลักทรัพย์ชื่อดังในประเทศไทย เช่น กิมเอง หยวนต้า บัวหลวง ซีจีเอส กรุงศรี เคทีซมิโก้) ดูแลในงานด้านการศึกษาพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ ให้คำแนะนำการลงทุน ให้ความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ต่างๆ และยังทำหน้าที่ CMO (Chief Marketing Officer) ในการออกเหรียญ Utility Token ชื่อ ‘Carboneum’ อีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีงานด้านการพัฒนาโปรแกรมต่างๆให้กับบริษัทมหาชนขนาดใหญ่ เช่น โปรแกรม Chatbot สำหรับ IR ของ PTT เป็นต้น
ปี พ.ศ. 2563 เข้าทำงานใน ‘บริษัท แนท บิสสิเนสคอนเนก จำกัด’ ในตำแหน่ง ‘กรรมการผู้จัดการบริษัท’ โดยความคิดริเริ่มเดิมคือต้องการทำแอปเทรดแบบ streaming โดยใช้ระบบเทรดหลังบ้านในรูปแบบ Freewill พร้อมชูจุดเด่นของแอปคือเรื่องการผลิตรายการเพื่อให้ความรู้ทางด้านการเงินการลงทุน โดยมีเป้าหมายสำคัญในการสร้างชุมชนของนักลงทุนรุ่นใหม่ เสริมให้มีจุดเด่นในเรื่องข่าวสาร ความรู้และช่องทางในการลงทุนที่หลากหลายมากขึ้น
เนื่องจากระบบที่ได้พัฒนามาและทำการทดสอบกับตลาด จึงทำให้มีข้อมูลและเข้าใจถึงพฤติกรรมการเทรดของนักลงทุน รวมถึงเข้าใจความยากง่ายของผู้ใช้บริการที่มีต่อระบบจัดการแบบใหม่ที่ไม่คุ้นชิน จึงได้มีแนวคิดในการเปลี่ยนแผนธุรกิจ โดยการจัดตั้งบริษัทหลักทรัพย์ขึ้นใหม่ แต่ยังคงใช้รูปแบบเดิมของ ‘บริษัท แนท บิสสิเนทคอนเนก จำกัด’ ในเรื่องแอปเทรดที่ครบเครื่องทั้ง ข่าว บทความ ชุมชนนักลงทุนที่มีเทคโนโลยี AI มาช่วยในการคัดกรองข่าวที่รวดเร็ว เหมาะสมตามความชอบและพฤติกรรมการบริโภคข้อมูลของนักลงทุนแต่ละคนที่แตกต่างกัน
ปี พ.ศ. 2564 จึงจัดตั้ง ‘บริษัท ลิเบอเรเตอร์ จำกัด’ เพื่อดำเนินธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทนายหน้าซื้อขายหุ้นในลักษณะออนไลน์เทรดดิ้ง โดยมีเป้าหมายให้ผู้ลงทุนในประเทศสามารถเข้าถึงตลาดทุนได้ง่ายขึ้น มีข่าวสารที่พร้อมสำหรับรองรับการตัดสินใจ และมีต้นทุนด้านความรู้ความเข้าใจทางการเงินที่ถูกต้องที่สุด รวมถึงผลักดันให้เกิดการสร้างนิสัยการลงทุนของคนในประเทศให้เป็นที่กว้างขวางมากขึ้น จึงมอบหน้าที่ให้ คุณภาวลิน เป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัท โดยบริษัทประเมินแล้วว่า คุณภาวลินมีความรู้ ความสามารถ ความเข้าใจ บวกกับประสบการณ์ความสำเร็จที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทางการเงิน รวมถึงการพัฒนาแอปพลิเคชั่น ต่างๆนั้น จะเป็นประโยชน์สูงสุดกับนักลงทุนในประเทศไทย และจะมีส่วนช่วยสนับสนุนให้โมเดลธุรกิจของบริษัทนั้นประสบความสำเร็จ เช่นเดียวกับ บริษัท Ajaib (ของประเทศอินโดนิเซีย) ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพแพลตฟอร์มเทรดหุ้นที่มีคนไทยเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง ที่สามารถยกระดับเป็นสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นได้เร็วที่สุดในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเจ้าของร่วมทั้งสองคนก็ไม่ได้อยู่ในกิจการบริษัทหลักทรัพย์มาก่อน แต่สามารถนำองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีใหม่ๆมาเสริมเติมแต่งให้ทันยุคสมัย สามารถเข้าใจความต้องการและแก้ปัญหาของผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นผู้บริหารระดับปฏิบัติการที่มีประสบการณ์อีกด้านมาร่วมเสริมทัพทีมทำงานจนสามารถประสบความสำเร็จได้เช่นกันและในเวลาอันสั้นอีกด้วย


